Monday, 22 February 2010


เปิดโลกวันอาทิตย์ : มือปราบคอร์รัปชั่นในเลบานอน : โดย...บุญรัตน์ อภิชาติไตรสรณ์
  นับตั้งแต่โลกก้าวสู่ศตวรรษที่ 21 เป็นต้นมา ชื่อของ เลบานอน ประเทศเล็กๆ ริมทะเลเมดิเตอร์เรเนียนที่อยู่หว่างกลางระหว่างคู่ศึกตลอดกาลคือ อิสราเอล และซีเรีย ก็ค่อยๆ เลือนหายไปจากสื่อเก่าอย่างหนังสือพิมพ์ วิทยุและโทรทัศน์ นานๆ ครั้งจึงจะปรากฏเป็นข่าวใหญ่สักครั้งยามลูกหลานคิงโซโลมอนเกิดอหังการเปิดฉากทำสงครามชายแดน ยิงขีปนาวุธถล่มพื้นที่ยุทธศาสตร์ในประเทศนี้ด้วยข้อหาดั้งเดิมว่า เป็นรังใหญ่ของกลุ่มติดอาวุธเฮซบอลเลาะห์ ซึ่งเป็นมุสลิมชีอะต์ที่สมคบกับประเทศเพื่อนบ้านลอบเข้าไปก่อวินาศกรรมในอิสราเอล จากดินแดนอันแสนสงบสุขและสวยงามสมฉายา "ปารีสแห่งตะวันออกกลาง" เป็นทั้งศูนย์กลางด้านการค้า การเงินศิลปะและวัฒนธรรม พลันกลับกลายเป็นแดนมิคสัญญีในชั่วพริบตาเมื่อกลุ่มคริสเตียนและมุสลิมได้เปิดฉากทำสงครามกลางเมืองในช่วงปี 2518-2534 ทั้งประเทศมีเสียงระเบิดและการลักพาตัวชาวต่างชาติแทบไม่เว้นแต่วัน และตกเป็นข่าวพาดหัวแทบไม่เว้นแต่ละวันนานถึง 16 ปีเต็ม

                            ในที่สุดฝันร้ายผ่านพ้นไป เมื่อทุกฝ่ายต่างเริ่มเห็นสถาบันต่างๆแทบจะล้มละลายหายไปต่อหน้า จึงหันมาจับมือปรองดองกันและร่วมกันหาข้อยุติความบาดหมาง รวมทั้งร่วมกันบูรณะฟื้นฟูประเทศให้พ้นจากหายนะ แต่จวบจนทุกวันนี้ เลบานอนก็ไม่สามารถกอบกู้ชื่อเสียงในฐานะ "ปารีสแห่งตะวันออกกลาง" ให้กลับคืนมาใหม่ หนำซ้ำยังติดโรคระบาดที่อาจจะร้ายแรงยิ่งกว่าโรคมะเร็งหรือโรคอีโบลา แถมยังส่งผลกระทบรุนแรงยิ่งกว่าสงครามกลางเมืองเสียอีก เนื่องจากเป็น "โรคร้ายที่มองไม่เห็น" หรือ "เห็นแล้วแต่ก็รักษาไม่ได้" โรคระบาดนี้ก็คือ การทุจริตคอร์รัปชั่นที่ชอนไชไปทั่วทุกภาคส่วน แม้กระทั่งในซอกหลืบเล็กๆ ของวงราชการ จนทุกคนชินชามองเป็นเรื่องปกติธรรมดาๆ กระทั่งเลบานอนมีชื่อติดอันดับที่ 39 ในกลุ่มประเทศที่มีการทุจริตคอร์รัปชั่นมากที่สุดในโลกจากการจัดอันดับขององค์กรเพื่อความโปร่งใสระหว่างประเทศ

                            ผลการสำรวจความเห็นเมื่อปี 2556 โดยองค์กรความโปร่งใสระหว่างประเทศพบว่า 71 เปอร์เซ็นต์ของชาวเลบานอนคิดว่าปัญหาคอร์รัปชั่นเป็นปัญหาร้ายแรงที่สุดปัญหาหนึ่งของประเทศ แต่ผลการสำรวจขององค์กรท้องถิ่นแซกเกอร์ เอล เดคเคน หรือ "ปิดร้านค้า" พบว่า กว่า 50 เปอร์เซ็นต์ของชาวเลบานอนต่างยอมรับว่า ยินดีติดสินบนข้าราชการเพื่อให้การติดต่อเป็นไปด้วยความสะดวกราบรื่น

                            วันนี้ เลบานอน ก็กลายเป็นที่จับตามมองอีกครั้ง เมื่อบุรุษผู้หนึ่งไม่อาจทนเห็นบ้านเมืองถูกบ่อนเซาะจนอาจพังครืนในอนาคตอันใกล้ได้ จึงอาสาตัวมาเป็น "มือปราบคอร์รัปชั่น" หวังจะกระตุ้นจิตสำนึกของพี่น้องร่วมชาติไม่ให้นิ่งดูดายอีกต่อไป บุรุษผู้นั้นก็คือ วาเอล อาบู ฟาเอาวร์ รัฐมนตรีสาธารณสุขวัย 42 ปี ที่กล้าทะลวงด่านต้องห้ามทั้งหลายแหล่ เปิดฉากรณรงค์ต่อต้านการฉ้อราษฎร์บังหลวงทุกรูปแบบตั้งแต่การทุจริตโครงการข้าวที่เจือปนยาฆ่าหนูไปจนถึงเนื้อเน่าเหม็นที่ยังคงวางขายหน้าตาเฉยตามซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วประเทศ

                            "ทุกวันนี้ เราอยู่ท่ามกลางภูเขาการคอร์รัปชั่นที่สูงเสียดฟ้า ยิ่งขุดลึกมากท่าใด เราก็ยิ่งพบการทุจริตหยั่งรากลึกไปทั่วมากขึ้นเท่านั้น" วาเอล อาบู ฟาเอาวร์ ให้ความเห็นโดยไม่ฉายแววแห่งความทดท้อใจแต่ประการใด หลังจากจัดแถลงข่าวใหญ่เปิดโปงเรื่องการรับสินบาทคาดสินบนเกือบทุกวันตลอดช่วง 4 เดือน ที่ผ่านมา "เป็นเวลาเนิ่นนานมาแล้ว ที่เราปิดหูปิดตาตัวเองปล่อยให้นักธุรกิจที่มีนักการเมืองคอยโอบอุ้มอยู่ลอยนวล ทำตัวอยู่เหนือกฎหมายโดยไม่มีใครกล้าแตะต้อง" ฟาเอาวร์ ย้ำ

                            คาดว่าการฉ้อราษฎร์บังหลวงและการทุจริตฉ้อฉลในประเทศนี้สูงถึง 6,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 1.8 แสนล้านบาท) หรือประมาณ 15 เปอร์เซ็นต์ของผลผลิตมวลรวมในประเทศ หรือจีดีพี แม้กระทั่งรัฐมนตรีคลังก็ยังแถลงยอมรับว่า เฉพาะที่กรมศุลกากรเพียงแห่งเดียวมีการคอร์รัปชั่นมากถึงปีละ 1,200 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ภาคสาธารณสุขที่ฟาเอาวร์เป็นเจ้ากระทรวงอยู่ เป็นภาคที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด "เครือข่ายการทุจริตคอร์รัปชั่นที่ใหญ่ที่สุดในเลบานอนก็คือ ภาคสาธารณสุข ประมาณกันว่า 25-30 เปอร์เซ็นต์ของงบประมาณแผ่นดินที่กระจายไปตามโรงพยาบาลต่างๆ ทั่วประเทศคิดเป็นเงินกว่า 300 ล้านดอลลาร์ (ราว 9,000 ล้านบาท) ถูกยักยอกและเล่นแร่แปรธาตุหรือฟอกเงินไปเข้ากระเป๋าของผู้ที่อยู่ในวงการ ดังกรณีการจับกุมนายแพทย์ 5 คน ซึ่งต่างคนต่างทำใบเสร็จปลอมเบิกเงินหลายพันดอลลาร์เป็นค่ารักษาคนไข้หลายคนที่เสียชีวิตไปแล้ว ที่จับผิดได้ก็คือ มีคนไข้ที่เสียชีวิตแล้วรายหนึ่ง ปรากฏว่ามีโรงพยาบาล 3 แห่ง เบิกเงินค่ารักษาคนไข้รายนี้ในช่วงเวลาเดียวกัน

                            การรณรงค์ของฟาเอาวร์ มาจากผลการตระเวนเดินทางไปตรวจสอบคุณภาพอาหารตามภัตตาคารและซูเปอร์มาร์เก็ต จากนั้นจึงขยายวงการตรวจสอบไปยังแหล่งผลิตต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง จนนำไปสู่การสั่งปิดโรงฆ่าสัตว์ การสั่งยึดสินค้าที่หมดอายุและจับกุมนักธุรกิจหลายคน ตามด้วยการเดินทางไปตรวจคลินิกที่รับทำศัลยกรรมเสริมความงาม อันเป็นธุรกิจใหญ่ธุรกิจหนึ่งของเลบานอน แล้วพบข้อมูลที่น่าตกใจยิ่งว่า ผู้ประกอบการเหล่านี้ส่วนใหญ่ไม่มีใบอนุญาตประกอบการที่ถูกกฎหมาย จน "รัฐมนตรีมือปราบคอร์รัปชั่น" ผู้นี้ต้องสั่งปิดคลินิกเสริมความงามชื่อดังหลายแห่ง ด้วยความมุ่งมั่น ฟาเอาวร์ยังก้าวไปไกลถึงขึ้นเดินทางไปตรวจสอบแหล่งผลิตน้ำประปาของเอกชน ซึ่งเฟื่องฟูเมื่อช่วงปีที่แล้วคราวที่เกิดภาวะแล้งจัด จนสำนักงานประปาของภาครัฐไม่สามารถจ่ายน้ำประปาให้ประชาชนได้ตามปกติ เปิดช่องให้เอกชนกระโจนเข้ามาทำธุรกิจนี้แทน

                            "ไม่น่าเชื่อเลยว่า 90 เปอร์เซ็นต์ของน้ำประปาที่จ่ายไปตามบ้านเรือนของราษฎร ล้วนแต่ไม่มีใบอนุญาตประกอบการ....พวกเขาขโมยน้ำของรัฐไปใช้" วาเอล อาบู ฟาเอาวร์ เปิดเผยผลจากการขยันเดินทางตรวจสถานประกอบการ ทำให้ชื่อของฟาเอาวร์โด่งดังเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงในสายตาของสื่อ ที่เกาะติดการถ่ายทอดสดการเปิดโปงชื่อของบุคคลหรือภัตตาคาร ซูเปอร์มาร์เก็ตและซัพพายเออร์ ที่ทำผิดกฎหมายว่าด้วยมาตรฐานความปลอดภัยในสุขอนามัย กรณีนำอาหารที่ไม่ได้คุณภาพมาขาย

                            อย่างไรก็ดี การรณรงค์กวาดล้างการทุจริตคอร์รัปชั่นก็ใช่จะง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปากเสมอไป หรือจะว่าไปแล้วงานนี้ยากยิ่งกว่าเข็นครกขึ้นภูเขาเสียอีก บ่อยครั้งเหมือนกันกับการกระตุกหนวดเสือ เพราะทุกๆ ที่ที่ไปตรวจเยี่ยมจะมีการประท้วง หนำซ้ำเจ้าหน้าที่ที่ไปช่วยตรวจสอบบางคนก็ถูกข่มขู่คุกคามหมายจะเอาชีวิต แต่มือปราบคอร์รัปชั่นแห่งเลบานอนก็ไม่ย่อท้อ และยังท้าทายด้วยการสั่งรื้อแฟ้มคดีเก่าๆ มาตรวจสอบใหม่ นำไปสู่การนำตัวผู้ต้องหาในคดีส่งเสริมธุรกิจขายยารักษาโรคมะเร็งปลอมไปฟ้องศาลอีกครั้ง หลังจากนักการเมืองที่เป็นผู้อุปถัมภ์รายใหญ่เคยวิ่งเต้นให้ศาลปล่อยตัวนักธุรกิจกลุ่มนี้มาแล้ว

                            วาเอล อาบู ฟาเอาวร์ เป็นชนชาติกลุ่มน้อยดรูซ เป็นเด็กในสังกัดของ วาลิด จุมแบล็ตต์ นักการเมืองผู้ทรงอิทธิพล ซึ่งตกเป็นเป้าโจมตีเช่นกันว่า มีผลประโยชน์ทับซ้อนทางธุรกิจ และนี่ก็คงเป็นเหตุผลใหญ่ที่ทำให้นักการเมืองในสังกัด ซึ่งคงมีผลประโยชน์ทับซ้อนเช่นกันได้รุมกันโจตีฟาเอาวร์ว่า อยากดังและอาศัยสื่อมาช่วยโหมประโคมข่าว การโจมตีนี้ยังไปไกลถึงขุ้นกล่าวหาว่าใช้ลัทธิก่อการร้ายมาเล่นงานธุรกิจอาหารอันเลื่องชื่อของเลบานอน ซึ่งเท่ากับทำลายชื่อเสียงของผู้ถูกกล่าวหา แต่ผู้สนับสนุนเขายกย่องว่าเป็นรัฐมนตีแห่งเลบานอนตัวจริงเสียงจริง

                            นอกเหนือจากตระเวนสำรวจสถานประกอบการต่างๆแล้ว ฟาเอาวร์ยังได้เสนอร่างกฎหมายควบคุมความปลอดภัยของอาหารและประสานงานอย่างใกล้ชิดกับกระทรวงยุติธรรมเพื่อตั้งผู้พิพากษาพิเศษขึ้นมาคนหนึ่งคอยดูแลคดีสาธารณสุขโดยเฉพาะ  นอกจากนี้ยังสั่งเปลี่ยนระบบการจัดทำบัญชีของโรงพยาบาลต่างๆ จากเดิมที่ใช้ใบเสร็จรับเงินให้เป็นการจัดเก็บด้วยระบบคอมพิวเตอร์เพื่อให้ง่ายต่อการตรวจสอบ ขณะนี้มีโรงพยาบาลที่จัดทำบัญชีด้วยระบบคอมพิวเตอร์แค่ 10 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น

                            ไม่ต้องสงสัยแม้แต่น้อยว่า กลุ่มต่อต้านการคอร์รัปชั่นในเลบานอนต่างเห็นด้วยและสนับสนุนฟาเอาวร์ ถึงขนาดช่วยจัดทำแอพบนไอโฟน เพื่อรายงานพฤติกรรมฉ้อราษฎร์บังหลวงของข้าราชการ "ก่อนหน้านี้ เป็นเรื่องต้องห้ามที่จะพูดถึงปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่น แต่ตอนนี้ทุกอย่างเริ่มเปลี่ยนไป" หลายคนยอมรับว่า นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น "เราจะต้องก้าวไปให้ไกลจากการรณรงค์ผ่านการโหมประโคมของสื่อและระบบตรวจสอบที่จัดตั้งขึ้น ตอนนี้ คอร์รัปชั่นมีแต่เติบโต แต่กลับมีผู้ต้องหาเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ถูกลงโทษ"


ที่มา: www.komchadluek.net

0 comments:

Post a Comment